วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

กล้วยหอมยอดผลไม้มหัศจรรย์


  กล้วยหอมมี สารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส (sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที



เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก (เคยเห็นในสนามเทนนิส....พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ)


ยังไม่หมด....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์ ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกัน


ความเศร้าซึม

จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอมเพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกาย สา มารถแปลงเป็น serotoninสารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายอารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น


pms (premenstrual syndrome)

สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย...เช่ นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย....มัน สามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........


โรคโลหิตจาง (Anemia)

ธาตุเหล็กในกล้วยหอม สา มารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin ( ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ


ความดันโลหิต (Blood Pressure)

กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug inistrationอนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง




เสริมสร้างพลังสมอง ( Brain Power)


ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham schoolอ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื นตัวอยู่เสมอ


อาการท้องผูก (Constipation)

เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี


เมาค้าง (Hangovers)

วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย( ฮ่า.....เพิ่งรู้นะเนี่ย.......ต้องลองแน่ ๆ...) ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและ สารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือดและทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น......


จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)

กล้วยหอมมี สารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว


อาการแพ้ท้อง Morning Sickness

ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการ crhmhv’


บรรเทาแผลยุงกัด

ก่อนที่จะใช้ยาทาลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัดจะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ


ระบบประสาท (Nerves)

วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด....อ่อนล้าได้


อ้วนจากทำงานมากเกินไป

ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่าความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ต และพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไปทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆ น้อย ๆ ประมาณทุก ๆ 2 ชม.จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก


แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล (PepticUlcers)

สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้นรวมทั้งกรดต่างๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้


ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)

ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อนผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง ย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล้วยหอมเป็นประจำเพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น...... so cool....


ลดความอยากสูบบุหรี่

สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาด สารนิโคติน


เห็นไหมว่ากล้วยหอมนั้นเป็นยอดผลไม้จริง ๆ เปรียบเทียบกับแอปเปิลแล้ว กล้วยหอมมีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรทมากกว่า 2 เท่า ฟอสฟลอรัสมากกว่า 3 เท่า วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ มากกว่า 2 เท่า


ดังนั้นจากที่ฝรั่งเคยพูดกันว่า "An apple a day keeps doctor away." ต่อไปคงจะต้องเปลี่ยนเป็น "A banana a day keeps doctor away." ซะแล้วมั๊ง.....
ถ้ามันไม่ใช่เป็นการเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อโปรโมท พ่อค้ากล้วยหอมแล้ว ผมว่ากล้วยหอมเนี่ยมันแจ่มจริงๆ.... ถ้าต่อไปมันแพงมากก็ไม ่ต้องกินมันหรอกครับ (ผมว่ากล้วยน้ำว้าก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมากนา....กินมันทั้ง 2 อย่างแหละดีที่สุด)
อ้อ...แถมท้ายอีกอย่างหนึ่งรองเท้าหนัง
ถ้าอยากขัดให้มันวาวแบบเร็ว ๆ ก็เอาเปลือกกล้วยหอมด้านในถูรองเท้าไป เสร็จแล้วเอาผ้าแห้งเช็ดขัดออก...รองเท้าจะมันแผล็บเลย

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ไข้หวัด สายพันธุ์ใหม่ 2009

                                              

รู้จักโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009


โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีชื่อเรียกในประเทศต่างๆ หลายชื่อ คือ ไข้หวัดเม็กซิโก, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอชวัน เอ็นวัน 2009, ไข้หวัดใหญ่จากสุกร (Swine Influenza) เป็นต้น เป็นไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ ตามปกติมีการระบาดในหมูเท่านั้น สามารถพบได้ทั้งในหมูเลี้ยง และหมูป่า ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้ง H1N1, H1N2 และ H3N2 แต่บางครั้งหมูอาจมีเชื้อไข้หวัดอยู่ในตัวมากกว่า 1 ชนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดการผสมกันของยีนได้ ทำให้เกิดเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่สามารถข้ามสายพันธุ์มาติดต่อยังมนุษย์ได้ เริ่มต้นจากการสัมผัสกับหมูที่เป็นโรค

สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เริ่มแพร่ระบาดในประเทศเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ก่อนจะแพร่ระบาดไปหลายๆ ประเทศทั่วโลกนั้น เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ซึ่งเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของคน และไม่เคยพบมาก่อน เนื่องจากเป็นการผสมกันของสารพันธุกรรมไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์, ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อ H1N1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น



วิวัฒนาการไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009


ก่อนที่ไข้หวัดหมูดั้งเดิมจะกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ดั้งเดิม พบมาตั้งแต่ ค. ศ.1918-1919 ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก จนมีผู้เสียชีวิตประมาณ 50 ล้านคน ส่วนใหญ่อายุ 20-40 ปี และตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จากนั้นโรคไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในช่วงต่างๆ ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่มากกว่า 50 ราย โดยผู้ป่วย 61% มีประวัติสัมผัสหมู และมีอายุเฉลี่ย 24 ปี หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ มีผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อจากคนสู่คน

ต่อมาใน ค.ศ.1988 หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งเสียชีวิตในรัฐวิสคอนซิน และมีประวัติสัมผัสหมู จึงเกิดการสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1) จนกระทั่งปี ค.ศ.1998 จึงพิสูจน์พบว่า หมูที่เลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกา มีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างหมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2, H1N2, และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และแคนาดา

                                
          

 การติดต่อโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009


เชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีการติดต่อเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนทั่วไป และเชื้อจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยระยะฟักเชื้อของไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้นอยู่ที่ประมาณ 3-7 วัน หากผู้ป่วยได้รับเชื้อมากระยะฟักตัวก็จะเร็ว ซึ่งทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยด้วยว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน

ทั้งนี้เชื้อโรคจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นด้วยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด รวมทั้งติดต่อกันทางลมหายใจ หากอยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ และสามารถติดต่อได้จากมือ หรือสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ทั้งนี้เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา ซึ่งสามารถแพ้เชื้อได้ ตั้งแต่ผู้ติดเชื้อยังไม่ปรากฎอาการ หรือหลังจากปรากฎอาการไข้แล้ว

ขณะที่นักวิชาการขององค์การอนามัยโลก ระบุไว้ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีอัตราการแพร่ระบาดมากกว่าโรคซาร์ส และไข้หวัดนก แต่อัตราการเสียชีวิตมีน้อยกว่า คืออยู่ที่ร้อยละ 5-7 ขณะที่โรคไข้หวัดนกมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 60

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

การผ่าตัดเสริมสวยจมูก



วิธีการผ่าตัด
                การเสริมจมูกจะใช้การผ่าตัดขนาดเล็ก และเกือบจะทั้งหมดใช้ในการเสริมด้วยซิลิโคน (Medical Grade Silicone) ที่ยอมรับถึงความปลอดภัยสูง  โดยสอดผ่านทางรอยผ่าตัดนี้จะมองไม่เห็นจากภายนอก  แพทย์จะเริ่มผ่าตัดขนาดเล็กที่ด้านในของจมูก  ซึ่งแผลเหล่านี้จะมองไม่เห็นจากภายนอก  แพทย์จะเริ่มผ่าตัดโดยการออกแบบซิลิโคนให้เข้ากับรูปหน้า  และโครงสร้างจมูกก่อน  จากนั้นจึงเริ่มการเสริมจมูกโดยการฉีดยาชาพาะบริเวณที่รอบจมูก  บางรายอาจใช้ยาสลบร่วมด้วยโดยการฉีดยาหรือกินก็มี  สำหรับผู้ที่จะทำเกิดตื่นเต้นมาก  แต่ส่วนใหญ่ใช้ยาชาก็พอแล้ว  หลังผ่าตัดก็สามารถกลับบ้านได้ทันที  แพทย์จะนัดมาตรวจดูอีกครั้ง 7 วันให้หลัง  เพื่อตัดไหมและตรวจดูความเรียบร้อย

การดูแลหลังผ่าตัด
                โดยทั่วไปแล้วมักไม่จำเป็นต้องปิดแผลบริเวณที่จมุกเลย  สามารถเดินทางกลับบ้านได้ทันทีโดยที่คนทั่วไปอาจไม่สังเกตความผิดปกติ (ขึ้นอยู่กับฝีมือของแพทย์ด้วย)  นอกจากอาการบวมปูดให้ผิดสังเกต  แต่แพทย์บางคนอาจนิยมใช้ Plaster ปิดบริเวณสันจมุกหรืออาจใช้เผือกดามบริเวณสันจมูกด้วย  แล้วแต่ความนิยมและประสบการณ์ของแพทย์แต่ละคน
                เมื่อกลับถึงบ้านให้ใช้ผ้าเย็นประคบโดยรอบจมูกประมาณ 1 -2 วัน  เพื่อไม่ให้มีเลือดออกจะได้มีอาการบวมน้อยลงลดอาการอักเสบ  จากนั้นวันที่ 3 – 4 เมื่อมีอาการบวมเต็มที่แล้วให้เปลี่ยนมาประคบด้วยผ้าอุ่นเพื่อลดอาการบวมให้ น้อยลง

ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
                พอได้น้อย  ถ้าได้รัการผ่าตัดอย่างถูกต้องและมีการดูแลที่ดีพอ  อย่างไรก็ดีอาการแทรกซ้อนเหล่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้คือ
                1. จมูกที่เสริมเกิดความเอียง  ผิดรูปทรง  ถ้าคุณตรวจพบในระยะแรก 1 -2 สัปดาห์แรกที่แผลยังไม่เข้าที่  แพทย์อาจช่วยดัดให้เข้าที่ได้  ถ้าเกิดภายหลังอาจเกิดการชนหรือกระแทกบริเวณจมุกจะไม่สามารถตัดให้เข้าที่ ได้  มักจะต้องผ่าตัดใหม่
                2. เกิดอาการจมูกอักเสบ  เกิดขึ้นได้  ถ้ามีการติดเชื้อบริเวณที่ทำการผ่าตัด  หรือบางครั้งเกิดจากการอักเสบผิวหนังบริเวณใก้เคียง  เช่น  เป็นบริเวณจมูก  บ่อยครั้งที่มักเกิดจากการเสริมที่โด่งเกินไป  เพราะอยากได้จมูกเกิดความยืดตัวของผิวหนัง  จนเกิดแดงที่บริเวณปลายจมูก  และอาจทะลุออกมาได้



วงการแพทย์พยายามนำไขมันมาปลูกถ่ายรักษาจมูก
                “ปัญหาการทำไขมันมาศัลยกรรมจมูกนี้ได้มีความพยายามแก้ไขเรื่อยมา  เช่นทางคณะแพทยศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล  ได้เริ่มให้การรักษาที่ได้รับอุบัติเหตุ  กลุ่มคนไข้ที่จมูกบูดเบี้ยวมาตั้งแต่เกิด  หรือกลุ่มที่ไปรับการผ่าตัดจมูกมาแล้วเกิดอาการผิดปกติ  เช่น  กระดูกทรุดไม่สามารถใช้ซิลิโคนช่วยได้แล้ว  ลางคนก็ไม่ทำจมูกกับหมอเถื่อนมา  แล้วกลายเป็นเนื้องอก  เน่า  อักเสบ  เราก็ต้องตัดเนื้องอกออกก่อน  อต่พอเอาเนื้องอกออก  จมูกก็จะเสียรูปทรง  ก็ต้องเอาไขมันไม่ซ่อมหรือบางคนไปใส่ซิลิโคนแท่งมา  แล้วซิลิโคนทะลุ  พอเลาซิลิโคนออกมาก็ต้องเอาไขมันเข้าไปเสริมแทนส่วนที่ว่างไปเช่นกัน
                เราเคยช่วยคนข้มาพอสมควรประมาณ 80-90%  ของคนไข้ก็จะพอใจกับจมูกที่ทำให้ใหม่  แต่ก็มีบางรายที่ไขมันละลายซึมไปกับร่างกายเกือบหมด  ก็ต้องกลับมาทำครั้งที่ 2 วิธี  ซึ่งการทำโดยวิธีนี้ในระยะแรกๆ  นั้น  เราก็ต้องค้นหาวิธีจะทำให้ไขมันติดกับจมูกได้ดีที่สุด  ซึ่งในปัจจุบันก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ  ถึงแม้บางรายจะมีการละลายไปมาก  แต่ก็ยังเหลืออยู่อย่างน้อยก็ 20-30%  ซึ่งก็ถือว่าเป็นที่ทำให้ช่วยแก้ปัญหาสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาสำหรับคนไข้ที่ มีปัญหาเรื่องจมูกได้มากขึ้นจริงๆ  และผลก็ออกมาได้ดี
                การใช้ไขมันเป็นการรักษา  ซึ่งเหมือนกับการปลูกถ่ายอวัยวะต่างๆ  ในร่างกายเช่นการตัดผิวหนังส่วนหนึ่ง  มาปะให้อีกส่วนหนึ่ง  ซึ่งการใช้ไขมันก็มีมานานมากแล้ว  ปต่การนำมาใช้กับจมูกนั้นมันจะติดยาก  ไม่เหมือนกับเราเอาข้าวไปหว่านในที่แล้ง  ทำให้ปลูกติดยากมาก  ตรงนี้ก็เป็นปัญหาที่เราแก้ไขปรับปรุงวิธีการ  เพื่อทำให้สามารถปลุกติดได้มาขึ้นเรื่อยๆ

ขั้นตอนการเสริมจมูกด้วยไขมัน
                “การทำนั้นซึ่งต้องมีการคัดไขมัน  เลือกไขมันด้วย  ซึ่งพอเราเอาไขมันออกมาแล้วก็ต้องเอาส่วนที่เป็นน้ำทิ้ง  ให้เหลือแต่เนื้อเยื่อที่เป็นไขมันจริงๆ  ซึ่งจะมีมากที่พุงของคนเรา  แต่ว่าเราใช้นิดเดียวประมาณนิ้วก้อยหรือ 5 cc
                เราเริ่มต้นจากการรักษาคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องของจมุกเสียทรง  ทั้งจากอุบัติเหตุ  การผ่าตัดเนื้องอก  ไซนัส  หรืออื่นๆ  กระทั้งเอามาใช้ในคนปกติ  เพื่อเป็นการเสริมความมั่นใจให้คนที่มีปัญหาในเรื่องของสันจมูก   ก็คือ “ศัลกรรมเพื่อบุคลิกภาพ”
                ปัญหาในเรื่องจมูกบี้  เป็นเรื่องของปมด้อยซึ่งการใช้ไขมันจะสามารถช้วยเสริมความั่นใจมากขึ้น  แต่การปลูกไขมันนั้น  ก็ขึ้นอยู่กับไขมันด้วย  และสภาพของผิวหนังด้วย  ถ้าหนังมันตึงกับเราใหส่เสื้อ  ถ้าใส่เสื้อรัดๆ  ก็จะเหมลือพื้ที่สำหรับปลุกไขมันได้น้อย  แต่ถ้าเรามีหนังมทากเราก็จะปลูกขัมนเข้าไปได้มากขี้น”

เสริมจมูกปลูกย้ายไขมัน
                “การเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายขัมน  เป็นนวัตกรรมเสริมความงามล่าสุดที่ได้คิดค้นและพัฒนาขึ้น  แก้ปัญหาที่เกิดจากการทำศัลยกรรมจมูกด้วยซิลิโคน  ที่พบบ่อยที่สุดคือกรณีซิลิโคนทพทะลุออกมาผิวหนังออกมา  ซึ่งสร้างความเจ็บปวดและทรมานให้กับผุ้ป่วยจำนวนมากในร่างกายมนุษย์เรานี่ แหละ  โดยนำมาจากการเจาะไขมันบริเวณสพดือและมีลักษณะเหมือนเอ็นข้อไก่มาใช้เสริม จมูก
                เมื่อทำการย้ายไขมัน (Graft)  มาปลุกใหม่บริเวณจมูก  เลือดบริเวณจมูกก็จะทำการหล่อเลี้ยงไขมันจนเหลือเป็นส่วนหนึ่งของจมูก  ซึ่งกรรมวิธีดังกล่าวไปยุ่งยากใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น  เนื่องจาการผ่าตัดตั้งทำอย่างรวดเร็วและรอบคอบที่สุด  เพื่อลดอาหารบอบซ้ำของร่างกาย
                การศัลกรรมด้วยวิธีนี้ไม่มีผลกระทบและผลข้างเคียงใดๆ  เนื่องจาไขมันไม่ไช่สารแปลกปลอมหรือวัสดุสังเคราะหืจึงไม่เป็นอันตรายใดๆ  ต่อร่างกาย  นอกจากนี้ยังเป็นไขมันของคนนั้นเองด้วย  และไขมันส่วนนี้ทำให้รูปทรงของจมูกสวยงามดูเป็นธรรมชาติ  และมีความยืดหยุ่นสูงอีกด้วย
                การเอาไขมันมันออกมา  หมอจะจะเจาะรูที่หน้าท้อง (เล้กๆ  เท่านั้น)  และหยิบไขมันออกมาเป็นก้อน  หลังจากนั้นก็จะต้องตัดไขมันที่จะเอามาปลูก  ซึ่งตรงนี้ถือว่าต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์และความเชียวชาญ ของแพทย์  ซึ่งใช้เวลาในการเอาไขมันออกมาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น  เสร็จแล้วก็เย็บปากแผลนิดเดียว  ประมาณ 5 – 7 วันแผลก็หายสนิท
                เรื่องของรูปของทรงจมูกที่ทำนั้น  หมอก็มีหน้าที่จัดรูปทรงเหมือนกับเราปั้นตีกตาหมอมีหน้าที้ตรียมช่องสำหรับ ใส่นุ่นเข้าไป  หมอต้องเจาะรูที่ด้านในก่อน   ซึ่งเป็นแค่ร฿เล้กๆ  จากนั้นก็จะเอาไขมันส่วนที่คัดแล้วมาปลุกเข้าไป  หลังจากนั้นก้เย็ยปิกปากแผลแระมาณ 2 เข็ม  โดยปริมาณของไขมันที่จะปลูกเข้าไปนั้นขึ้นอยู่กับสภาพของหนังจมูกว่าสามารถ ยึดได้มากน้อยแค่ไหน
                การดูแลรักษาต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 3 เดือน  โดยอาทิตยืแรกต้องระวังมากหน่อย  หลังจากนั้นก็ต้องคอยดูว่าไขมันจะติดได้มากน้อยแค่ไหนก็จะมีปัจจัยอยู่  เช่น  วิธีการคัดไขมันที่เอามาปลูก  วิธีการใส่  การดูแลรักษา  และขึ้นอยู่กับเนื้อเยื้อของไขมัน”

ผลวัยรุ่นติดน้อยกว่าที่คาด
                “ผลเฉลี่ยของเนื้อเยื่อไขมันจะติดอยู่ที่ประมาณ 50% ที่ต้องบอกว่าเฉลี่ยก้เพราะแล้วแต่ละคนจริงๆ  บางคนอาจติดง่ายบางคนก็ติดยาก  ซึ่งในวัยอายุปรมาณ 40 – 50 ปี  จะปลูกตดกว่า 70% ซึ่งเหตุผลกำลังอยู่ในการวิจัยหาคำตอบต่อไป
                ส่วนในเรื่องของราคาในการทำนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราไปทำที่ไหนมากกว่า  ซึ่งมีทั้งโรงพยาบาลรัฐ  และเอกชน  และการใช้ซิลิโคนแท่งก็ยังถือว่าปลอดภัยอยู่  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจ  และดุลยพินิจของแพทย์  ซึ่งต้องดูจมูกของคนไข้ว่าจะเหมาะกับการเสริมแบบไหน  ซึ่งบางคนอาจจะต้องใช้ทั้ง 2 ชนิดเลยก็มี

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวหมู่เกาะมัลดีฟส์

 
 

      สาธารณรัฐมัลดีฟส์เป็นหมู่เกาะเขต ร้อน อยู่ในมหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกเฉียงใต้ของศรีลังกา มีการควบคุมดูแลใส่ใจในเรื่องของทัศนียภาพของเกาะให้ดำรงเอาไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ในรีสอร์ทแต่ละแห่งนั้นจึงถูกคัดเลือกเฟ้นในสิ่งที่ดีสุด เพื่อเอาอกเอาใจบรรดาเหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมของโลก
      นอกจากนี้ยังมีการจำกัดจำนวนพร้อมทั้งกำหนดเขตจึงทำให้มัลดีฟส์ไม่มีอาคารสูงมาบดบังทัศนียภาพอันงดงาม มัลดีฟส์จึงเป็นเกาะสวรรค์ที่มีธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ ทั้งยังมีโลกใต้ทะเลที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยปลาและปะการังนานาชนิด ซึ่งถือเป็นสวรรค์ที่นักดำน้ำใฝ่หา

 
     โรงแรมและรีสอร์ทสวยๆ ในมัลดีฟมีเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ 1 เกาะจะมี 1 รีสอร์ท เรียกได้ว่าเกาะใครเกาะมัน สภาพเกาะจะใกล้เคียงกันคือมีแนวน้ำตื้นๆ ให้เล่นกีฬาทางน้ำ พื้นที่สำหรับสนอกเกิล มีชายหาดให้อาบแดด จะต่างกันตรง Concept การตกแต่ง การจัดการ ของแต่ละรีสอร์ทบนเกาะแต่ละเกาะ ซึ่งก็มีส่วนกับราคาค่าบริการ ของแต่ละรีสอร์ท 
 
ที่พักตามเกาะต่าง ๆ
      นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมามัลดีฟส์ต้องการที่จะมาพักผ่อนท่ามกลาง แสงแดดและหาดทราย เกาะต่าง ๆ จึงเต็มไปด้วยทิวมะพร้าวและหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ที่ชวนให้หลงใหล เปรียบดั่งภาพฝันที่นักท่องเที่ยวหลายคนแสวงหา เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าแบบสบาย ๆ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปบนเปลญวณกับหนังสือดี ๆ สักเล่ม ท่ามกลางบรรยากาศสงบเงียบปราศจากเสียงอื้ออึงของเครื่องยนต์ มีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งเบา ๆ กับสายลมที่พัดผ่านทิวมะพร้าว 


จุดเด่นของการเดินทาง
        นอกจากโลกของสัตว์น้ำอันน่าตื่นตาและไม่มีพิษภัยแล้ว ใต้ท้องทะเล มัลดีฟส์ยังมีจุดดำน้ำที่น่าสนใจอีกหลายแห่งอันเป็นที่ตั้งของซากเรือเดินทะเลที่ อับปางลงในอดีตและกลายมาเป็นแนวปะการังที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำน้อย ใหญ่มากมาย บนท้องฟ้าก็ยังมีบริการเที่ยวบินชมความงามของอะตอล หาดทรายและแนวปะการัง จากมุมมองของนกอีกด้วย ความประทับใจอีกอย่างของการเยือน มัลดีฟส์ ซึ่งหลายคนอาจไม่คุ้นเคย คือการได้เข้าไปสัมผัสโลกที่เหมือนหยุดเวลาเอาไว้นับศตวรรษของหมู่บ้านชาว ประมง

 
        รีสอร์ทบางแห่งมีบริการพานักท่องเที่ยวไปชมวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาว ประมง ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติได้อย่างลงตัว สนนราคานั้นขึ้นอยู่ช่วงฤดูการท่องเที่ยวซึ่งแต่ละแห่งจะคิดราคาแตกต่างกัน การค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับที่พักในมัลดีฟส์ก่อนเดินทางจะช่วยให้นักท่อง เที่ยวสามารถได้ที่พักที่ถูกใจ

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข้อมูลส่วนตัว

นางสาวศิริภา  นิวาสประกฤติ 
รหัสนิสิต 53530225
นิสิต ชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ สาขา เคมี
มหาวิทยาลัยบูรพา 
เกิด 27 มกราคม 2533  อายุ 20 ปี